วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ข้อสอบ วิทยาศาสตร์ ชีววิทยา


ข้อสอบ วิทยาศาสตร์ ชีววิทยา

21.   เส้นผมของเรามีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ  0.1  มิลิเมตร  ถ้าคิดเป็นหน่วยไมครอนจะเท่ากับ ?
.  1  ไมครอน            .  10  ไมครอน                  .  100  ไมครอน               .  1,000  ไมครอน

22.   ในการส่องกล้องจุลทรรศน์เพื่อดูพารามีเซียม  เมื่อใช้เลนส์วัตถุกำลังขยายต่ำ  (100 X)  แล้วเปลี่ยนมาเป็นเลนส์วัตถุกำลังขยายสูง  (400 X)  ส่องดู จะเห็นพารามีเซียมมีลักษณะใด ?
ก.      ภาพพารามีเซียมมีขนาดเล็กกว่าและมืดกว่า  เมื่อใช้เลนส์วัตถุกำลังขยายต่ำ
ข.      ภาพพารามีเซียมมีขนาดเล็กกว่าและสว่างกว่า  เมื่อใช้เลนส์วัตถุกำลังขยายต่ำ
ค.      ภาพพารามีเซียมมีขนาดใหญ่กว่าและมืดกว่า  เมื่อใช้เลนส์วัตถุกำลังขยายต่ำ
ง.       ภาพพารามีเซียมมีขนาดใหญ่กว่าและสว่างกว่า  เมื่อใช้เลนส์วัตถุกำลังขยายต่ำ

23.   ถ้าเราจะศึกษาโครงสร้างของโฟลเอมกับไซเลม  เราควรจะใช้เครื่องมือใดต่อไปนี้ ?
กล้องจุลทรรศน์                                                      เครื่องปั่นเหวี่ยง
ตู้อบ                                                                         เครื่องชั่ง

24.   ข้อใดต่อไปนี้เป็นสูตรของสารอินทรีย์ ?
.  Mg(OH)2                .  NaCl                                .  C12H22O11                                    .  NH3


25.   ในภาพด้านล่างนี้  มีการเคลื่อนที่ของโมเลกุลจากพื้นที่  ไปยังพื้นที่  เมื่อเวลาผ่านไป  ถามว่ากระบวนการเคลื่อนที่นี้เรียกว่าอะไร ?



ฟาโกไซโตซีส (phagocytosis)                               พิโนไซโตซีส (pinocytosis)
การแพร่  (diffussion)                                             แอคทีฟทรานส์ปอรต์ (active transport)


ให้ดูรูปข้างล่างนี้แล้วตอบคำถามข้อ  26 - 29
        ภาพข้างล่างนี้เป็นการทดลองเพื่อเลียนแบบเซลล์  ภายในเซลล์จะมีสารละลายซูโครสกับกลูโคส  ซึ่งหุ้มด้วยเยื่อเลือกผ่าน  แช่อยู่ในบีกเกอร์ที่มีสารละลายซูโคสกับกลูโคสและฟลุคโตสอยู่  เยื่อแมมเบรนนี้จะยอมให้น้ำและน้ำตาลพวกกลูโคส  ฟลุคโตส  ผ่านได้เท่านั้น  แต่ซูโครสจะผ่านไม่ได้



26.   สารในข้อใดที่จะแพร่เข้าสู่เซลล์ ?
ซูโครส                    กลูโคส                            ฟลุคโตส                         กลูโคสและฟรุคโตส

27.   สารในข้อใดที่จะแพร่ออกจากเซลล์ ?
ซูโครส                    กลูโคส                            ฟลุคโตส                         กลูโคสและฟรุคโตส

28.   เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างสารละลายภายในเซลล์กับสารละลายสภาวะแวดล้อมรอบเซลล์  ?
ก.      มีความเข้มข้นของสารละลายภายในเซลล์เท่ากับสภาวะแวดล้อมรอบเซลล์
ข.      มีความเข้มข้นของสารละลายภายในเซลล์สูงกว่าสภาวะแวดล้อมรอบเซลล์
ค.      มีความเข้มข้นของสารละลายภายในเซลล์ต่ำกว่าสภาวะแวดล้อมรอบเซลล์
ง.       ไม่มีข้อใดถูก

29.   ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปสักครู่  ข้อใดต่อไปนี้จะเกิดขึ้น ?
เซลล์จะเหี่ยวย่น                                                    เซลล์จะบวมเต่ง
น้ำจะออกจากเซลล์หมด                                       เซลล์จะแตก

  
30.   จากภาพข้างล่างนี้เป็นภาพเซลล์ที่อยู่ในน้ำ  ถามว่าเมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น ?



ก.      ความเข้มข้นของ  O2  ภายในเซลล์จะเพิ่มขึ้น
ข.      ความเข้มข้นของ  CO2  ภายในเซลล์จะคงที่
ค.      ความเข้มข้นของ  O2  ภายนอกเซลล์จะคงที่
ง.       ความเข้มข้นของ  CO2  ภายนอกเซลล์จะลดลง



ภาพข้างล่างนี้เป็นโปรติสชนิดหนึ่ง 



31. ข้อใดเป็นโครงสร้างที่คอยรักษาระดับน้ำภายในร่างกายของโปรติสนี้ ?
.  A                             .  B                                      .  C                                      .  D




32.   จากการตรวจสอบ  โดยใช้ออกซิเจน-18  (O18นักวิทยาศาสตร์พบว่าออกซิเจนที่ปล่อยออกมา จากพืชระหว่างกระบวนการหายใจนั้น ได้มาจากโมเลกุลใด ?
.  CO2                          .  H2O                                 กลูโคส                           คลอโรฟิลล์



33.   รูปข้างล่างนี้เป็นการเจริญของหัวหอมเมื่อขณะที่มีและไม่มีแสงข้อความต่อไปนี้กล่าวได้ถูกต้อง เกี่ยวกับภาพนี้ ?



ก.      พืชต้องการ  O2  เพื่อการอยู่รอด
ข.      สภาวะแวดล้อมไม่มีผลกระทบต่อการเจริญของพืช
ค.      พืชมีการสร้างฮอร์โมน
ง.       สภาวะแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการแสดงออกของลักษณะพันธุกรรมหนึ่ง  ๆ
  


34.    เมื่อพิจารณาความเหมือนระหว่างพ่อ-ลูก ของคนสองคนที่เกี่ยวพันกันทางพันธุกรรมแล้ว  
       ข้อความใดสรุปได้ถูกต้อง ?

ก.      ทั้งคู่มี  DNA  เหมือนกัน
ข.      ทั้งคู่มีโปรตีนชนิดเดียวกันมีลำดับอะมิโนเหมือนกันอยู่
ค.      ทั้งคู่มีลำดับเบสใน  DNA  เหมือนกัน
ง.       ทั้งคู่มีอัตราการกลายพันธุ์ที่เท่า  ๆ  กัน

35.   รูปข้างล่างนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงของลักษณะภายนอก  (ฟีโนไทป์ของแมลงพันธุ์หนึ่ง  เมื่อเวลาผ่านไป  10  ชั่วอายุ  ถามว่าน่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ?



ก.      แมลงที่มียีน  สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมได้ไม่ดี
ข.      แมลงที่มียีน  สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมได้ดี
ค.      ประชากรของแมลงมีจำนวนเพิ่มขึ้น
ง.       มีการกลายพันธุ์ของยีน  ลดลง


36.  จากรูปข้างล่างนี้  ระบบนิเวศนี้จะคงอยู่ได้ถ้า ?


ก.      สิ่งมีชีวิต  มีมากกว่าสิ่งมีชีวิต  B
ข.      สิ่งมีชีวิต  มีเท่ากับสิ่งมีชีวิต  B
ค.      สิ่งมีชีวิต  ถูกกำจัดให้หมดไป
ง.       อัตราการเกิดและอัตราการตายของสิ่งมีชีวิต  และ  B  เท่า  ๆ  กัน

37.   กราฟข้างล่างนี้  เป็นการเปลี่ยนแปลงของประชากรของสัตว์กินพืชชนิดหนึ่ง  ถามว่าเหตุใดมีการเปลี่ยนแปลงประชากรนี้น่าจะเกิดจาก ?



ก.      จำนวนพืชมีจำนวนลดลง
ข.      สิ่งมีชีวิต  แย่งชิงอาหารได้เก่งกว่าสิ่งมีชีวิต  A
ค.      สิ่งมีชีวิต  มีการออกลูกหลานมากกว่าสิ่งมีชีวิต  B
ง.       สิ่งมีชีวิต  กินสิ่งมีชีวิต  B

38.   ภาพข้างล่างนี้เป็นภาพของฟอสซิลที่ภาพที่ก้นทะเลแห่งหนึ่ง  พบว่าซากฟอสซิลที่พบในชั้น  มีความเหมือนกันกับซากฟอสซิลที่พบในชั้น  เราจะอธิบายเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร ?



ก.      การทับถมของซากฟอสซิลในชิ้น  เกิดขึ้นก่อนชิ้น  A
ข.      สิ่งมีชีวิตในปัจจุบันน่าจะมีวิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิตในยุคก่อน
ค.      ซากฟอสซิลของสัตว์มีกระดูกสันหลังจะพบที่ก้นทะเลเท่านั้น
ง.       ซากฟอสซิลในชิ้น  น่าจะมีความซับซ้อนมากกว่าซากฟอสซิลในชิ้น  B


39.   หัวข้อใดน่าจะเป็นหัวข้อ  X ?

สิ่งมีชีวิต
X
A
ผิวหนังที่ชื้น
B
ท่ออากาศ
C
เหงือกและหลอดเลือด

ก.      โครงสร้างในการหายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน
ข.      โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
ค.      ระบบที่ใช้ในการขับถ่าย
ง.       ระบบที่ใช้ในการย่อยอาหาร

40.   การเสนอชื่อวิทยาศาตร์ของสิ่งมีชีวิต  ถามว่าชื่อวิทยาศาตร์ดังกล่าวบ่งบอกถึงอะไร ตามลำดับ?

อาณาจักรและไฟลัม                                            ไฟลัมและจีนัส
จีนัสและสปีชีส์                                                     อาณาจักรและสปีชีส์

  
ฉลย
21.  
22.  
23.  
24.  
25.  
26.  
27.  
28.  
29.  
30.  
31.  
32.  
33.  
34.  
35.  
36.  
37.  
38.  
39.  
40.  

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

การแลกเปลี่ยนก๊าซ (Gas exchange in animals)

การแลกเปลี่ยนก๊าซ (Gas exchange in animals)

        1.  เหงือก : อวัยวะสำหรับการแลกเปลี่ยนแก๊ซในสัตว์น้ำ

     ·   มี  gills (เหงือก) เป็นอวัยวะในการแลกเปลี่ยนก๊าซ เหงือกมีลักษณะต่างๆ กันไปในสัตว์น้ำแต่ละชนิด       
     ·   ในสัตว์น้ำมีกระบวนการเรียกว่า  การหล่อเลี้ยง/หรือระบายด้วยลม (ventilation)  ซึ่งเป็นการเพิ่มการไหลเวียนของน้ำ (ซึ่งมี O2 อยู่น้อยให้มากขึ้น  ตัวอย่างไหลเวียนของน้ำผ่านเหงือกในปลา
    · ในปลาน้ำที่ผ่านเหงือกจะมีทิศทางการไหลเวียนตรงข้ามกับทิศทาง การไหลของเลือดทำให้การถ่ายเอา O2 ออกจากน้ำได้ถึง 80 %     

2.  ระบบท่อลม (tracheal  systems) และปอดในสัตว์บก

         ·   O2 และ CO2 มีการแพร่ได้รวดเร็วในอากาศ  สัตว์บกจึงไม่จำเป็นต้องมีระบบการหล่อ เลี้ยงด้วยลม (ventilation)     ในทางกลับกัน  ปัญหาที่สำคัญของสัตว์บกคือ  ต้องรักษาความชื้นในอวัยวะที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซ  เนื่องจากว่ามีการเสียน้ำไปกับอากาศที่หายใจเข้ามาตลอดเวลา
2.1 ระบบท่อลม (tracheal  systems)
    · ในแมลงระบบท่อลม (tracheal  system)  จะมีท่อลำเลียงอากาศที่แตกแขนงไปตามร่างกาย     ท่อที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า  trachea  ซึ่งจะเปิดสู่ภายนอกได้  ท่อลำเลียงอากาศเล็กๆ จะแตกกิ่งก้านไปยังเซลล์ต่างๆ  ก๊าซออกซิเจนจะแพร่ผ่านเนื้อเยื่อบุผิว (epithelium)  ที่อยู่ปลายสุดของระบบท่อลม
2.2  Lungs (ปอด)
                        ·   มีเส้นเลือดฝอย (capillaries) โยงใยอยู่หนาแน่น
                        ·   เป็นที่แลกเปลี่ยนก๊าซ
                        ·   พบใน  แมงมุม  หอยทาก  สัตว์มีกระดูสันหลัง

                  2.3    ระบบหายใจในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม
          ·   ปอดอยู่บริเวณอก (chest ) คล้ายฟองน้ำ  มีพื้นที่ประมาณ 100  ตารางเมตรในคน
       ·   อากาศผ่านจากการหายใจเข้าทางจมูกสู่  pharynx ไป larynx ไป trachea (ท่อลม) ไป bronchus ไป bronchioles ไป alveoli  ซึ่งเป็นที่ๆ มีการแลกเปลี่ยน O2 กับ CO2  
          ·    คนเราดึงอากาศเข้ามาในปอดด้วย negative pressure breathing = ดูดอากาศลงมาที่ปอด
        ·   ปอดที่ขยายขึ้นเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อซี่โครงและ diaphragm ซึ่งเป็นแผ่นกล้ามเนื้อด้านล่าง  ช่องว่างอกเลื่อนลง
       ·   ปริมาณอากาศที่เราหายใจเข้า-ออก 1 ครั้ง เรียกว่า tidal volume  ซึ่งประมาณ 500 ml  ในคน
       ·   ปริมาณอากาศที่เราสามารถหายใจเข้าออกได้มากที่สุดเรียกว่า  vital  capacity  ซึ่งจะประมาณ 3400 ml  และ  4800  ml  ในผู้หญิงและผู้ชายตามลำดับ
          ·   อย่างไรก็ตามอากาศใน  alveoli จะไม่หมดไปเลยที่เดียว เมื่อเราหายใจออก  อากาศที่เหลือ จากที่เราพยายามหายใจออกให้มากที่สุดแล้วเรียกว่า  residual  volume
         ·   นกมีถุงลม 8 – 9 ถุง  ซึ่งจะต่อเข้าไปในส่วนบริเวณ  ท้อง  คอ  จนถึงปีก  ถุงลมช่วยในการผ่านอากาศสู่ปอด  และช่วยในการบิน  ในนกมีท่อเล็กๆ เรียก  parabronchi แทนที่จะเป็น  alveoli


3.  การควบคุมการหายใจ
     ·   Breathing  control  centers  อยู่ที่สมองส่วน  Medulla  oblongata  กับ Pons
     ·   Medulla’s  center  ควบคุมจังหวะการหายใจพื้นฐานร่วมกับ   pons เมื่อเราหายใจลึกๆ  จะมีตัว sensors ที่  lung  tissuส่งกระแสประสาทมาที่  medulla  ยังยั้ง  breathing  control  center  ไม่ให้ปอดขยายมากเกินไป
    ·   Medulla’s control center  ยังคอยรักษาระดับ CO2   ซึ่งจะมีค่า  pH  ในเลือดเป็นตัวบอก (CO2 + H2O ® carbonic  acid (H2CO3) ® pH ลดลง  ถ้า  pH  ในเลือดลดลงจะทำให้หายใจเพิ่มขึ้น


4.  การแพร่ของก๊าซในปอดและอวัยวะต่างๆ
     ·   partial pressure  ของ  O2 = ความดันมาตรฐานระดับน้ำทะเล
        (760  mm Hg) ´ % O2 ในอากาศ  
                                                    = 760 ´ 0.21 = 160 mm ปรอท
     ·   ก๊าซจะมีแพร่จากที่ๆ higher partial  pressure  ไปใน  lower  partial  pressure
     ·   partial pressure  ของ  Oที่เราหายใจเข้า (inhaled air) เท่ากับ 160 mm ปรอท 


5.  การขนส่งก๊าซโดย  respiratory  pigments
5.1    การขนส่ง O2
       ·   ใน arthropods  และ  mollusks  เลือดมีสีน้ำเงินเกิดจาก hemocyanin (ที่มี Cu2+ เป็นสีฟ้า) ซึ่งเป็นโปรตีนที่คอยขนส่ง O2 ในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง  ส่วนในสัตว์มีกระดูกสันหลังมี hemoglobin  ซึ่งประกอบด้วย 4 subunits  ย่อยๆ แต่ละ subunit จับกับ 1 cofactor (heme) ซึ่งจะเรียกเป็น  1 hemogroup  และจะมี ion atom (Fe2+) อยู่ที่ศูนย์กลาง hemogroup ด้วย     แต่ละ  hemoglobin  molecule  สามารถจับกับ O2 ได้ โมเลกุล (molecules)
     ·   ถ้า  pH  ในเลือดลดลง  การจับของ hemoglobin กับ O2 จะลดลงด้วย  เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า  Bohr  shift
                  
5.2   การขนส่ง  CO2
      ·   hemoglobin ยังช่วยขนส่ง  CO2  และรักษาระดับ pH ในเลือด
                  ·   70 % ของ  CO2 ในเลือดอยู่ในรูปของ  bicarbonate ions (HCO3-) เมื่อมีการแพร่ของ CO2 ออกจากเลือดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสมดุลย์ทางเคมี  ทำให้ H2CO3 เปลี่ยนเป็น CO2 เมื่อเลือดเคลื่อนเข้าสู่เส้นเลือดฝอย capillaries
                      
         6.  สัตว์บางชนิดมีการเก็บ O2 ไว้ได้
                 ·   แมวน้ำสามารถเก็บ O2 ไว้ได้
          · แมวน้ำมีเลือดถึง 24 ลิตรสามารถเก็บ O2 ไว้ได้มากกว่าเรา ดำน้ำได้เกือบ 1 ชั่วโมง
              ·   คนในปอดมี O2  36 % ในเลือดมี O2  51 %  เทียบกับแมวน้ำซึ่งมี O2 ในปอด  5 %  ในเลือด  70 %  อาจเนื่องมาจากแมวน้ำมีเลือดมากกว่าเรา 2 เท่า  เมื่อเทียบตามน้ำหนักตัวและมีม้ามที่เก็บเลือดได้ถึง 24 ลิตร
                 ·   นอกจากนี้สัตว์ที่ดำน้ำได้เก่งๆ จะมีโปรตีนชื่อ myoglobin  ในกล้ามเนื้อ  ซึ่งเป็นที่เก็บ  O2 ซึ่งในแมวน้ำสามารถเก็บ O2 ไว้ในกล้ามเนื้อนี้ประมาณ 25 % เทียบกับคนเพียงแค่ 13 %
                 ·  นอกจากนี้ hemoglobin ของทารกในครรภ์ยังจับกับ O2 ได้ดีกว่า

          _______________________________________________________________________

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

ระบบไหลเวียนเลือด (Circulatory system)

ระบบไหลเวียนเลือด
 (Circulatory system)

1.      ระบบไหลเวียนเลือดใน animals
1.1  สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังส่วนมากมีช่องกลวงกลางลำตัว (gastrovascular  cavity) ดังนั้นการแลกเปลี่ยนสารต่างๆกับสิ่งแวดล้อมเป็นระบบไหลเวียนเลือดแบบเปิด (open circular system) เลือดจะปล่อยเข้าสู่ พื้นที่ที่อวัยวะต่างๆอยู่เรียกพื้นที่นั้นว่า sinuses และถ้าเรียกให้ถูก   เลือดนี้จะเรียกว่า hemolymph     ที่ sinuses นี้เองจะมีการแลกเปลี่ยนสารเคมีระหว่าง hemolymph กับอวัยวะต่างๆ  ระบบไหลเวียนเลือดแบบเปิดพบในไฮดร้า แมงกระพรุน พยาธิตัวแบน และแมลง เป็นต้น   ระบบไหลเวียนเลือดแบบเปิด (closed  circulatory  system)  เลือดจะไหลอยู่ภายในหลอดเลือดเท่านั้น การแลกเปลี่ยนก๊าซจะเกิดขึ้นระหว่างเลือดกับเซลล์     พบในไส้เดือน ปลาหมึกและสัตว์มีกระดูกสันหลัง


1.2  วิวัฒนาการของระบบหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular system)
·       Closed  circulatory  system  เรียกอีกอย่างว่า cardiovascular  system  ซึ่งประกอบด้วยหัวใจ (heart), เส้นเลือด (blood  vessels) และเลือด(blood)  หัวใจมีห้องหัวใจ atrium (รับ) และ ventricle (ปั๊มออก) อย่างละ1-2 ห้อง
Blood vescels มี
1. arteries  เส้นเลือดใหญ่จากหัวใจ ไปยังอวัยวะต่างๆ
2. arterioles เส้นเลือดเล็กแยกมาจาก arteries อยู่ตามอวัยวะต่างๆ
3. Capillaries เส้นเลือดฝอยแตกมาจาก arteries
4. venules เส้นเลือดดำที่รับเลือดมาจาก capillaries เพื่อกลับเข้าหัวใจ
5. veins เส้นเลือดดำใหญ่ที่รับเลือดมาจาก venules ส่งเลือดเข้าสู่หัวใจ


·       หัวใจของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม  
1) หัวใจช่อง right ventricle ปั้มเลือดไปปอดผ่าน
2) pulmonary arteries
3) เลือดไหลผ่าน capillaries ในปอด เลือดเอา O2 มา และให้ CO2 ไป
4) เลือดที่มี O2 มาก  ไหลกลับหัวใจเข้ามาที่ left atrium 
5) เลือดที่มี O2 มาก ไหลเข้ามาที่ left ventricle
6) เลือดที่มี O2 มาก ไหลออกจากหัวใจทางเส้นเลือด aorta ไปที่
7) capillaries ที่ศรีษะและแขน
8) capillaries ที่ลำตัวและขา จากนั้น
9)  เลือดที่มี O2 น้อย  จะไหลผ่าน superior vena cava ไปที่ right atrium
10) และ เลือดที่มี O2 น้อย  จะไหลผ่าน inferior vena cava ไปที่ right atrium เช่นกัน
11) right atrium

  

1.3  หัวใจในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
·       cardiac  cycle         หัวใจหดตัว    = systole
                                    หัวใจคลายตัว = diastole
·       stroke  volume  ปริมาณของเลือดที่ปั๊มออกไปจาก left  ventricle  ประมาณ 75 ml/ครั้ง คนที่มี stroke  เท่านี้ หัวใจจะเต้นประมาณ 70 ครั้งต่อนาที  ดังนั้นจะมี cardiac  output (หรือปริมาณเลือดที่ปั๊มออกจาก left  venticle) เท่ากับ 5.25 ลิตร/นาที ซึ่งเท่ากับปริมาณเลือดทั้งหมดในตัวคน


1.4  โครงสร้างของ arteries ,arteries , veins  และ  carpillaries vessels
·       capillaries ประกอบด้วย ชั้น endothelium  ซึ่งจะมีผิวเรียบ ทำให้ เลือดไหลได้เร็วและมีผนังบาง
·       เส้นเลือด artery และ vein มีผนัง 3 ชั้นเหมือนกันประกอบด้วย 1) connective tissue 2) smooth muscle และ 3) endothlium แต่เส้นเลือด vein มีขนาดรูใหญ่กว่าของ artery
·       เส้นเลือด capillary มีผนังชั้นเดียวเป็น endothlium และมี basement membrane หุ้มอยู่นอกสุดเหมือนกับ artery และ vein
·       blood  pressure  = แรงดันเลือด 
ใน arteries มีแรงดันเลือดมากก่าใน veins         ใน venticular  system  เลือดจะไหลจากที่ ที่มีความดันสูง (high  pressure)  ไปที่ที่มีความดันต่ำ (low  pressure) เมื่อวางมือกดเส้นที่ข้อมือ (ด้านนิ้วหัวแม่มือ) จะรู้สึก blood  pressure ที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจเต้น


1.5  การแลกเปลี่ยนสารต่างๆ ในเลือดเกิดขึ้นที่ thin  walls ของ capillaries
·       capillary  beds คือบริเวณที่มีเครือข่ายของ capillaries
·       เลือดที่ไหลสู่ capillary  beds ถูกควบคุมด้วย precapillary sphincters
· ในภาวะที่ precapillary sphincters คลายตัว  เลือดจะไหลเข้า capillary  bed และผ่าน thoroughfare channel  (เส้นเลือด capillary ที่เลือดสามารถไหลมาจาก arteriole สู่ venule ได้โดยตรง )
·       ตรงกันข้าม ในภาวะที่ precapillary  sphincters หดตัว เลือดที่ไหลเข้าสู่ capillary  bed ก็จะถูกลดจำนวนลง  

·       ของเหลวในเลือด (sugers, salts, oxgen และ urea)  ไหลออกจาก  capillary  บริเวณทางด้านที่อยู่ติด arteriole  ของเหลวที่อยู่ในช่วงระหว่างเซลล์จะไหลเข้ามาได้ใน capilly บริเวณที่ติดกับ venule  เนื่องจาก  blood  presure  ลดลง  แรงดันภายนอก (osmotic  presure) มากกว่า 
     (ดูรูปที่ 7)   การแลกเปลี่ยนของเหลวขึ้นอยู่กับ  hydrostatic pressure (blood pressure) และ osmotic pressure   ปกติ blood pressure จะดันของเหลว (fluid) ออกจาก capillary   ส่วน osmotic pressure มักจะทำให้นำ้เข้ามาใน capillary (เนื่องจากเลือดมีความเข้มข้นสูง)

1.6 ระบบน้ำเหลือง (lymphatic  system)  ถ่ายของเหลวสู่กระแสเลือดและช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกัน
·   เมื่อเลือดไหลสู่ capilavies  มีการสูญเสียสารต่างๆ และโปรตีนด้วย  แต่สารต่างๆ ที่สูญเสียไปนี้จะกลับเข้าสู่กระแสเลือดผ่าน lymphatic  system
·   ของเหลวในช่องระหว่างเซลล์ เข้าสู่  lymphatic  system  ที่ lymph  capillaries  เมื่อของเหลวนี้เข้ามาอยู่ใน lymphatic  system  แล้วจะเรียกว่า  lymph
·   lymphatic  system  ต่อกับเส้นเลือด  veins  
·   ที่  lymph  vessel มี lymph  nodes  ทำหน้าที่กรอง  lymph  ภายใน  lymph  nodes  มีเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่มากมาย              เมื่อร่างกายเกิดการติดเชื้อ  เซลล์นี้จะเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วทำให้  lymph  nodes  บวมขึ้น


      1.7  Blood (เลือด)
·   เลือดจัดอยู่ในหมู่  connective  tissue  มีเซลล์ต่างๆ อยู่ในสารเหลว เรียกว่า  plasma  ซึ่งสามารถแยกโดยการปั่นเหวี่ยง  ซึ่งจะได้เซลล์ต่างๆ ตกอยู่ในหลอดเป็น 45 %  ส่วนของเหลวชั้นบนที่มีสีเหลืองก็คือ  plasma  นั่นเอง
1.7.1  Plasma
          ·   เป็นน้ำ 90 %  มีเกลืออนินทรีย์ (inorganic  salts)  เป็นตัวรักษา  osmotic  balance  ในเลือด  และยังคอยรักษา  pH  ให้อยู่ที่ 7.4 (ในคน) ไอออน ต่างๆ ใน plasma  ยังจำเป็นในการหดยืดตัวของกล้ามเนื้อในร่างกายเราด้วย
          ·   มีโปรตีนพวก  immunoglobulins  เป็น  antibodies  ช่วยในการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย และโปรตีนพวก  fibrinogens  เป็น  clotting  factors ช่วยให้เลือดแข็งตัว
          ·   serum  คือ  plasma  ที่ไม่มี  fibrinogens
         ·   นอกจากนี้แล้วยังมีสารอาหารและของเสียจากกระบวนการเมตาบอลิซึม เช่น ฮอร์โมน  แก๊ส  เป็นต้น

1.7.2  Cellular  Elements ส่วนที่เป็นเซลล์
                          ·   มี 3 ชนิด คือ     1. Red  blood  cells     2. White  bloods  cells   
                               3. platelets 
                              1.   Red  blood  cells  หรือ  erythrocytes
-          มีประมาณ  25  พันล้านเซลล์ในร่างกายเรา
-          biconcave  disk  ไม่มี  nucleus  ไม่มี  mitochondria
-          ทำหน้าที่ขนส่ง  O2            
-          มี hemoglobin ซึ่ง เป็นโปรตีนที่ใช้ขนส่ง O2 

                              2.   White  blood  cells  หรือ  leukocytes
                                    -   มี 5 ชนิดคือ     1. Monocytes         2. Neutrophils                        
     3. Basophils         4. eosinophils        5. Lymphocytes
- ทั้ง 5 ชนิดนี้มีหน้าที่ต่อสู้กับการติดเชื้อโรคด้วยวิธีต่างๆ กันไป  เช่น  monocytes กับ neutrophils จะมีกระบวนการ phagocytosis กินสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย หรือกินเซลล์ที่ตายแล้ว
      3.   Platelets
-          เป็น  fragment  of  cells  เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ  2 – 3 mm
-          ไม่มี  nucleus  เกิดมาจาก  bone  marrow
-          หน้าที่ใน  การแข็งตัวของเลือด (blood  clotting)


1.7.3 Stem  cells  และการสร้างทดแทนของเซลล์ใน  blood
              ·   Erythrocytes  อยู่ในกระแสเลือด 3 –4 เดือน  แล้วถูกกินโดย  phagocytic cells  ในตับและม้าม
            ·   Erthrocytes, levkocytes  และ  platelets  พัฒนามาจาก  pluripotent  stem  cells  ที่  red  marrow  ในกระดูก (pluripotent cells หมายถึงเซลล์ที่มีศักยภาพในการเจริญไปเป็นเซลล์เม็ดเลือดแดง)
            ·   ถ้าเนื้อเยื่อต่างๆ ได้รับ O2 ไม่เพียงพอ  ไตจะเปลี่ยน  plasma  protein  ไปเป็นฮอร์โมนชื่อ  erythropoietin ซึ่งจะไปกระตุ้นการสร้าง  erythrocyte  ถ้าในเลือดมี O2 เพิ่มขึ้น erythropoietin ก็ลดลง และ การสร้าง erythrocyte ก็ลดด้วย


1.7.4      การแข็งตัวของเลือด (blood  clotting)
            ·   อย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น  fibrinogen  เป็นตัวที่คอยปิดบริเวณที่  vessels  ถูกทำลาย   การแข็งตัวของเลือดเกิดจาก  fibrinogen (inactive  form)  เปลี่ยนเป็น  fibrin (active  form) แล้วเกาะตัวกัน  อุดบริเวณที่ถูกตัวลาย
·   hemophilia  โรคทางพันธุกรรมที่เมื่อคนเป็นโรค เมื่อเกิดแผลเป็นจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด  เนื่องจากขาดปัจจัยที่ทำให้เลือดแข็งตัว (clotting  factors) บางอย่าง
·   thrombus  ก้อนเลือดที่แข็งตัวแล้วอุดตันการไหลของเลือด  ทำให้เกิดโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันได้


            1.7.5   Cardiovascular  disease  (โรคในหัวใจและเส้นเลือด)
                        ·   cardio  vascular  disease  ทำให้เกิดหัวใจวาย  หัวใจหยุดเต้นได้
                        ·   stroke = เป็นการตายของ  nervous  tissuที่สมอง  เกิดจากเส้นเลือดอุดตันที่สมอง
           ·   artherosclerosis หรือ โรคท่อเลือดแดงและหลอดเลือดแดงแข็ง = เป็น chronic  cardiovascular disease  เกิดจากมีเนื้อเยื่อเกิดในที่ผนังชั้นในของ  arteries  ทำให้รูของ  arteries  เล็กลง  เลือดเดินไม่สะดวก  บางครั้งการก่อตัวของเนื้อเยื่อมี  calcium  เข้าไปเกาะด้วยทำให้เกิดโรค  artherosclerosis ได้
                        ·   Hypertension = ความดันสูง  ทำให้เกิด atherosclerosis  เนื่องจากความดันเลือดที่สูงทำให้เกิดความเสียหายของ  endothelium  ใน arteries  ทำให้เกิดการฟอร์มของเนื้อเยื่อหนาขึ้น
                        ·   LDLs (low – density lipoproteins) ทำให้เกิดการสะสมของ chloresterol  ในเส้นเลือด
                        ·   HDLs  (high–density lipoproteins) ช่วยลดปริมาณ  cholesterol  ที่เกาะอยู่ในเส้นเลือด    จริงแล้ว cholesterol ได้จากการรับประทาน 20% ส่วนอีก 80% สังเคราะห์จากตับ
                        ·   การออกกำลังกายช่วยเพิ่ม HDL ขณะที่การสูบบุหรี่จะทำให้มี LDL เพิ่มขึ้น
                              
    ___________________________________________________________________