สารโมเลกุลเล็ก (small & building block molecules)
1. บทบาทที่สำคัญของสารโมเลกุลเล็ก
สารโมเลกุลเล็กๆ เป็นโมเลกุลที่จำเป็นต่อกระบวนการต่างๆของสิ่งมีชีวิต ดังเช่น สารโมเลกุลต่าง ๆ ที่สังเคราะห์ขึ้นจากกระบวนการเมตตาโบลิซึม (metabolisms) ของสิ่งมีชีวิต สารโมเลกุลเหล่านี้ รวมถึงเมตตาโบไลท์ (metabolites) ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อนำมาใช้เป็นพลังและโครงสร้างของชีวิต
ในบทนี้เราจะกล่าวถึงว่า
สารโมเลกุลเล็ก (small molecules) ที่ได้จากกระบวนการเมตตาโบลิซึมนั้นถูกนำมาใช้เป็นหน่วยโครสร้าง (building
blocks) ในกระบวนการสังเคราะห์สารประกอบขนาดใหญ่ (macromolecular synthesis) ได้อย่างไร ซึ่งจะกล่าวถึงการสร้าง nucleic
acids, proteins และ lipids ส่วนการการสร้างของ carbohydrates จะกล่าวในบทต่อไป การสังเคราะห์สารทั้ง
4 ชนิดนี้เป็นสารที่มีความสำคัญมากต่อจุลินชีพและรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น
ๆ ด้วย
2. The Synthesis of Purines, Pyrimidines, and Nucleotides
Biosynthesis ของ purine และ pyrimidine เป็นกระบวนการที่สำคัญเนื่องจากสาร
purine และ pyrimidine ใช้ในการสังเคราะห์
ATP, cofactors ต่างๆ, RNA, DNA และองค์ประกอบที่สำคัญของเซลล์
·
purines และ pyrimidines เป็น cyclic nitrogenous
bases ซึ่งมีพันธะคู่อยู่และมีคุณสมบัติของ aromatic
(aromatic properties) purines ประกอบด้วย 2 rings ในขณะที่ pyrimidines มี 1 ring
·
purines = adenine
และ guanine
·
pyrimidine =
cytosine, thymine และ uracil
·
nucleoside = purine
or pirimidine + pentose sugar
·
nucleotide = purine or pirimidine + pentose
sugar + phosphate groups
2.1 Purine Biosynthesis
·
กระบวนการสังเคราะห์
purine นั้นค่อนข้างซับซ้อน
มีทั้งหมด 11 ขั้นตอน ซึ่งใช้โมเลกุลจากสารต่าง ๆ 7 โมเลกุลมาประกอบเป็น purine
skeleton กระบวนการสังเคราะห์ purines เริ่มต้นจากสาร ribose 5-phosphate และได้ผลิตภัณฑ์สุดท้ายเป็น
inosinic acid ในกระบวนการสังเคราะห์ purine มี cofactor ที่สำคัญคือ folic acid จาก pathway การสังเคราะห์ purine จะเห็นว่า folic acid
derivatives ให้หมู่ Carbon 2 ตัว กับ purine
skeleton ตรงตำแหน่ง C2 และ C8 มียาปฏิชีวนะตัวหนึ่งชื่อ sulfonamide
จะไปยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียโดยมันจะไปยับยั้งการสังเคราะห์
folic acid ทำให้ไปรบกวนการสังเคราะห์ purine และกระบวนการอื่น
ๆ ที่ต้องการ folic acid ในแบคทีเรีย
·
เมื่อได้ inosinic acid แล้วจะมีกระบวนการสั้น ๆ ในการสังเคราะห์
adenosine monophosphate และ guanosine
monophosphate
·
หลังจากนั้น
adenosine monophosphate และ
guanosine monophaophate จะถูกเติมด้วย phaosphate จาก ATP ได้เป็น nucleoside di- และ triphosphate
2.2 Pyrimidine Biosynthesis
·
กระบวนการสังเคราะห์
pyrimidine เริ่มต้นจากสารตั้งต้น
2 ตัว คือ aspartic acid และ carbamoyl
phosphate (สังเคราะห์จาก CO2 และ
ammonia) เอนไซม์ aspartate carbamoyl transferase
จะทำการรวมโมเลกุลทั้ง 2 ข้างต้นฟอร์มเป็น carbamoyl
aspartate แล้วจึงถูกเปลี่ยนให้เป็น orotic acid
·
หลังจากนั้น
orotic acid จะถูกเติมด้วย ribose
5-phosphate โดยสาร intermediate ที่มีพลังงานสูงชื่อ
PRPP : 5-phosphoribose 1- pyrophosphoric acid
·
การสังเคราะห์
pyrimidines ต่างจาก purines ตรงที่สังเคราะห์ pyrimidine
ก่อนแล้วจึงเติมหมู่ ribose sugar เข้าไปแต่ใน
purines เริ่มจาก ribose 5-phosphate แล้วจึงสังเคราะห์
purine ขึ้นมา
·
ในการสังเคราะห์
thymine ได้จากการการเติมหมู่
methyl เข้าไปที่โมเลกุลของ deoxyuridine monophosphate
โดย folic acid derivative
·
ส่วน deoxyribonucleotides เกิดจากการ reduction
โดย sulfur-containing protein ชื่อ thioredoxin
3. The Synthesis of Amino Acids
การสังเคราะห์กรดอะมิโนนั้นสิ่งแรกที่จำเป็นคือ
การสังเคราะห์โครงสร้างหลักที่สำคัญก่อน
ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะค่อนข้างซับซ้อนและมีขั้นตอนมาก
และเนื่องจากว่าสิ่งมีชีวิตจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคอยอนุรักษ์ธาตุไนโตรเจน
ธาตุคาร์บอน ดังนั้นพลังงานการสังเคราะห์กรดอะมิโน
จึงมักจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดด้วย allosteric
และ feedback mechanisms ในหัวข้อนี้เราจะไม่พูดถึงการสังเคราะห์กรดอะมิโนที่เป็นรายละเอียดมาก
ซึ่งรายละเอียดการสังเคราะห์อะมิโนนักศึกษาสามารถหาอ่านได้จากหนังสือชีวเคมี
·
ใน amino acid
biosynthetic pathways โดยที่ amino acid skeletons นั้นได้มาจาก 1) acetyl-coA จาก TCA cycle 2
) glycolysis และ 3) pentose phosphate pathway
·
alanine,
aspartate และ glutamate เกิดจากกระบวนการ transamination
โดยตรงจาก pyruvate, oxaloacetate และ a- ketoglutarate ตามลำดับ
·
การสังเคราะห์กรดอะมิโนบางชนิดเกิดมาจาก
intermediate ตัวเดียวกัน
4. Lipid Synthesis
·
ไขมันที่พบในสิ่งมีชีวิต
จะมีความหลากหลายมากโดยเฉพาะไขมันที่ cell
membranes ไขมันส่วนมากจะประกอบด้วย fatty acids หรือ derivatives ของ fatty acids
·
fatty acids เป็น monocarboxylic acids ที่มี alkyl
chains ในแบคทีเรีย Gram-
negative มักจะมี cyclopropane fatty acids
·
fatty acids นั้นถูกสังเคราะห์โดยเอนไซม์ fatty acid synthetase จาก
สารตั้งต้น acetyl-CoA และ malonyl-CoA โดยใช้ NADPH เป็น reductant
·
Malonyl-CoA ได้มาจากปฏิกิริยา carboxylation ของ acetyl-CoA
กับ ATP
·
ในการสังเคราะห์
fatty acid นั้นมีโปรตีนตัวหนึ่งคอยช่วยเหลือชื่อว่า
acyl carrier protein (ACP)
·
fatty acid
synthesis เริ่มจาก
1) malonyl-ACP ทำปฏิกิริยากับ fatty
acyl-ACP ได้ acyl-ACP ที่มีธาตุคาร์บอนเพิ่มขึ้นมา
2 ตัว กับ CO2
2) เกิดปฏิกิริยา reductions (2ครั้ง) และ dehydration
(1 ครั้ง) ได้ หมู่ b- keto group บน fatty acid หลังจากนั้น fatty acid โมเลกุลนี้จะพร้อมที่จะถูกเติมด้วย
2 carbon atoms ต่อไป
·
กรดไขมันไม่อิ่มตัว
(unsaturated fatty acid) เกิดขึ้นโดยกระบวนการ
1) aerobic pathway
ใช้ NADPH และ O2 ทำให้เกิด double bond ระหว่าง C9 และ C10 พบใน eucarydtes และ aerobic
bacteria
2) anaerobic pathway โดยทำการ dehydration โมเลกุลของ hydroxy
fatty acid พบใน Gram- negative bacteria เช่น
E. coli, Salmonella
typhimurium, Gram- positive bacteria เช่น Lactobacillus
plantarum และ Clostridium pasteurianum และพบใน cyanobacteria
·
Phospholipids มักจะสังเคราะห์มาจาก phosphatidic acid ใน procaryotes
ยกตัวอย่าง phosphatidylethanolamine ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของ
cell membrane ของ bacteria สังเคราะห์จาก
CDP-diacylglycerol (CDP = Cytidine diphosphate เป็น carrier)
ซึ่งทำปฏิกิริยากับ serine ได้เป็น phospholipid
phosphatidylserine และต่อไปจะถูก decarboxylation ได้เป็น phosphatidylethanolamine ในที่สุด จาก pathway
นี้จะเห็นว่า membrane lipid ต่างๆนั้น สังเคราะห์มาจากสารที่ได้จากทั้ง
glycolysis, fatty acid biosynthesis และ amino acid
biosynthesis
_________________________________________
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น