เซลล์และองค์ประกอบของเซลล์
ในวิชาเคมีนั้น การศึกษาอะตอมและสารเคมีเป็นพื้นฐานที่สำคัญ ทางด้านชีววิทยา การศึกษาเซลล์ซึ่งเป็นหน่วยของสิ่งมีชีวิตก็ถือว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญเช่นเดียวกัน
เราศึกษาเซลล์ได้อย่างไร?
คำตอบ คือ เราสามารถศึกษาเซลล์ด้วยกล้องจุลทรรศน์ (microscope) กล้องจุลทรรศน์มี
2 ชนิด คือ
1) กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (light microscope)
เซลล์ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-100 ไมโครเมตร (mm) สามารถมองเห็นภายใต้กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง
2) กล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน (electron microscope)
กล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนยังแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
1) กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (light microscope)
เซลล์ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-100 ไมโครเมตร (mm) สามารถมองเห็นภายใต้กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง
กล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนยังแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
1.
Transmission electron microscope (TEM)
มีหลักการคล้ายกล้องจุลทรรศน์ทั่วๆไปคือลำแสงอิเลคตรอนจะถูกฉายผ่านเนื้อเยื่อตัวอย่าง
โดยที่เนื้อเยื่อตัวอย่างหรือเซลล์จะถูกย้อมด้วยอะตอมของโลหะหนัก ซึ่งออร์กาเนลล์ชนิดต่างๆก็จะถูกย้อมติดต่างกันไป
กล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนแบบนี้ใช้ศึกษาโครงสร้างที่มีขนาดเล็กของเซลล์
2.
Scanning electron microscope (SEM)
กล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนแบบนี้ใช้ศึกษารายละเอียดพื้นผิวของเซลล์ โดยที่ลำแสงอิเล็กตรอนจะสแกนพื้นผิวของตัวอย่างซึ่งผ่านการย้อมติดด้วยแผ่นฟิล์มที่ทำมาจากทอง ลำแสงอิเล็กตรอนจากกล้องจะกระตุ้นอิเล็กตรอนที่พื้นผิวของเซลล์ ข้อมูลอิเล็กตรอนที่ได้จะถูกประมวลออกมาเป็นภาพที่มีความตื้นลึกหนาบางในรูปแบบภาพ
3 มิติ
ออร์กาเนลล์ต่างๆในเซลล์สามารถแยกนำมาศึกษาได้
วิธีการแยกออร์กาเนลล์ต่างๆ จากเซลล์เรียกว่า กระบวนการ cell
fractionation โดยใช้เครื่องปั่นเหวี่ยง ความเร็วสูง (ultracentrifuge) ที่สามารถปั่นได้ถึง 500,000 g
กระบวนการ cell
fractionation เริ่มจากการทำเซลล์ให้แตก (homogenization) จากนั้นจึงนำเซลล์ที่แตกไปปั่นเหวี่ยงที่ความเร็วและเวลาต่างๆ
เพื่อแยกองค์ประกอบและออร์กาเนลล์ต่างๆของเซลล์
โดยการทดสอบว่า
cell fraction ที่ได้มาแต่ละ fraction นั้นเกี่ยวข้องกับกระบวนการเมตาโบลิซึมแบบใด
ก็จะรู้ได้ว่า fraction นั้นๆเป็นออร์กาเนลล์อะไร
เซลล์โปรคาริโอตและยูคาริโอต
สิ่งมีชีวิตที่ประกอบมาจากเซลล์
สามารถแยกชนิดของเซลล์ได้เป็น 2 กลุ่มคือ
1. เซลล์โปรคาริโอต (prokaryotic cell)
1. เซลล์โปรคาริโอต (prokaryotic cell)
เป็นเซลล์ที่ไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส
มีแต่สารพันธุ์กรรม หรือ DNA อยู่ในพื้นที่เฉพาะเรียกว่านิวคลีออยด์ (nucleoid) ซึ่งอยู่ในไซโตพลาสซึม (cytroplasm) ภายในเซลล์
2. เซลล์ยูคาริโอต (eukaryotic cell)
เซลล์ยูคาริโอตมีนิวเคลียส (nucleus) และมีเยื่อหุ้มนิวเคลียส (nuclear
envelope) ในไซโตพลาสซึมประกอบด้วยสารกึ่งเหลวเรียกว่า ไซโตซอล (cytosol)
ตัวอย่าง เซลล์ที่มีขนาดเล็กที่สุดที่เป็นเซลล์โปรคาริโอต คือ แบคทีเรียชื่อว่า Mycoplasma ในเซลล์ทุกเซลล์มีพลาสมา เมมเบรน (plasma membrane) มีหน้าที่สำคัญคือ ควบคุมการเข้าออกของออกซิเจน สารอาหาร และของเสีย พลาสมาเมมเบรนมีลักษณะเป็น lipid bilayer
เมมเบรน
เมมเบรนเป็น lipid bilayer ที่มีโปรตีนชนิดต่างๆ
แทรกตัวอยู่ สิ่งมีชีวิตต่างกันจะมี ความหลากหลายของโปรตีนที่พลาสมาเมมเบรนและเมมเบรนต่างกัน
โดยทั่วไปแล้ว โปรตีนที่อยู่ที่ชั้นเมมเบรนนี้มีอยู่ 2 ชนิดคือ 1)
integral proteins และ 2) peripheral proteins โปรตีนเหล่านี้มีหน้าที่ต่างๆกันไป
นอกจากนี้แล้ว โครงสร้างของเมมเบรนยังมีส่วนประกอบอื่นๆ
อีก เช่น ไกลโคโปรตีน ไกลโคลิปิด และคาร์โบไฮเดรต
เซลล์กับเซลล์จะจดจำกันหรือมีปฏิสัมพันธ์กันได้จากโมเลกุลที่ผิวของเซลล์
เช่น โมเลกุลของคาร์โบไฮเดรต โอลิโกแซคคาไรด์ (oligosaccharides) บนพลาสมาเมมเบรน ยกตัวอย่าง เช่น กรุปเลือด A, B, AB และ O ที่จำแนกกันได้ตามชนิดของโอลิโกแซคคาไรด์บนผิวของเม็ดเลือดแดง
นิวเคลียสและไรโบโซม
นิวเคลียส (nucleus) ของเซลล์ยูคาริโอตมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ
5 ไมโครเมตร ภายในมีสารพันธุกรรมอยู่ นิวเคลียสมีเยื่อหุ้มนิวเคลียสล้อมรอบและแยกจากไซโตพลาสซึม
เยื่อหุ้มนิวเคลียส (nuclear envelope) เป็น lipid bilayer มีโปรตีนชนิดต่างๆเกาะอยู่ด้วย ที่เยื่อหุ้มนิวเคลียสนี้เองมีรูเรียกว่า nuclear pore เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 100 นาโนเมตร ตรง nuclear pore นี้เองชั้น inner membrane และ outer membrane ของนิวเคลียสจะเชื่อมต่อกัน และที่รูนี้มีโปรตีนคอยควบคุมการเข้าออกของสารโมเลกุลใหญ่ด้วยเช่นกัน ผิวด้านในของเยื่อหุ้มนิวเคลียสมี nuclear lamina เป็นเหมือนตาข่ายเส้นใยทำหน้าที่รักษารูปร่างของนิวเคลียส
เยื่อหุ้มนิวเคลียส (nuclear envelope) เป็น lipid bilayer มีโปรตีนชนิดต่างๆเกาะอยู่ด้วย ที่เยื่อหุ้มนิวเคลียสนี้เองมีรูเรียกว่า nuclear pore เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 100 นาโนเมตร ตรง nuclear pore นี้เองชั้น inner membrane และ outer membrane ของนิวเคลียสจะเชื่อมต่อกัน และที่รูนี้มีโปรตีนคอยควบคุมการเข้าออกของสารโมเลกุลใหญ่ด้วยเช่นกัน ผิวด้านในของเยื่อหุ้มนิวเคลียสมี nuclear lamina เป็นเหมือนตาข่ายเส้นใยทำหน้าที่รักษารูปร่างของนิวเคลียส
ภายในนิวเคลียสมี DNA กับโปรตีนฮิสโตน (histone
protein) จับกันเป็นหน่วยที่เรียกว่า โครมาติน (chromatin) ในระหว่างที่เซลล์มีกระบวนการแบ่งตัวแบบไมโตซิส
(mitosis) โครมาตินจะหดสั้นและหนา
เรียกโครงสร้างนี้ว่า โครมาโซม (chromosome)
นิวคลีโอลัส (nucleolus) เป็นแหล่งสร้างไรโบโซม (ribosome) แล้วส่งออกไปที่ไซโตปลาสซึม
ในนิวเคลียสนั้น mRNA ที่สังเคราะห์มาจาก DNA จะถูกส่งผ่าน nuclear
pores ไปที่ไซโตพลาสซึม
ไรโบโซม (ribosome) ทำหน้าที่สร้างโปรตีน ไรโบโซมอิสระ (free ribosome) จะอยู่ใน cytosol ในขณะที่ไรโบโซมชนิด bound ribosome จะติดอยู่กับ endoplasmic reticulum (ER) โดยทั่วไปโปรตีนถูกสร้างโดยไรโบโซมอิสระ ส่วน bound ribosome จะสร้างโปรตีนชนิด
membrane proteins โปรตีนในไลโซโซม (lysosome) หรือโปรตีนที่ต้องส่งไปภายนอกเซลล์ เช่น ในตับอ่อนหรืออวัยวะที่ปล่อยเอนไซม์สำหรับย่อยอาหารจะมี
bound ribosome อยู่มาก
โครงสร้างหรือออร์กาเนลล์ที่มีเอนโดเมมเบรนหุ้ม
โครงสร้างที่มีเอนโดเมมเบรนเป็นองค์ประกอบ
ได้แก่ เยื่อหุ้มนิวเคลียส (nuclear envelope) เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม
(endoplasmic reticulum หรือ ER) กอลจิแอปพาราตัส (Golgi apparatus) ไลโซโซม
(lysosome) แวคิวโอล (vacuole)
และพลาสมาเมมเบรน (plasma membrane)
เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม [endoplasmic = within the cytoplasm , reticulum = network]
เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมมีลักษณะเป็นท่อนหรือถุงแบนๆ
ประกอบด้วยโครงสร้างลักษณะคล้าย tubules และถุงเรียกว่า cisternae [cistern = box or
chest] เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย
เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมยังต่อเชื่อมกับเยื่อหุ้มนิวเคลียสอีกด้วย
เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมมี 2 แบบ คือ
1.
เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบ (smooth ER )ไม่มี ribosome มาเกาะ
2.
เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวขุขระ (rough ER ) มี ribosome มาเกาะ
หน้าที่ของเอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบ
1.
เอนไซม์จากเอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบ มีหน้าที่สำคัญในการสังเคราะห์ไขมัน ฟอสโฟลิปิด
(phospholipid) และสเตียรอยด์ (steroid) เช่น ฮอร์โมนเพศ (sex
hormone) ดังนั้นเซลล์ที่ผลิตฮอร์โมนเพศจะมีเอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบอยู่มาก
2.
ช่วยในกระบวนการเมตาโบลิซึมของคาร์โบไฮเดรต ในเซลล์ตับจะมีคาร์โบไฮเดรตสะสมไว้ในรูปของไกลโคเจน
(glycogen) ในการย่อยไกลโคเจนนั้นจะได้กลูโคส
อย่างไรก็ตาม การย่อยไกลโคเจนขั้นแรกจะได้
กลูโคสฟอสเฟต (glucose phosphate) ภายในเอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบจะมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ตัดหมู่ฟอสเฟตออกไปจากกลูโคสฟอสเฟต
ทำให้ได้กลูโคสซึ่งจะส่งออกไปจากเซลล์ตับได้
3.
ทำลายยาและสารพิษ (detoxification) ในเอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบมีเอนไซม์ที่ช่วยในการทำลายยา
โดยการเติมหมู่ไฮดรอกซิล (hydroxyl) เข้าไปที่ยา ทำให้มีความสามารถในการละลายเพิ่มขึ้นและขับออกไปได้ง่าย
4.
เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบช่วยปั้มแคลเซี่ยมไอออนจาก
cytosol เข้ามาใน cisternal space เมื่อกล้ามเนื้อถูกกระตุ้น
แคลเซียมจะวิ่งออกไปที่ cytosol และกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ
หน้าที่ของเอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวขุขระ
1.
ที่เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวขุขระมีการเติมหมู่คาร์โบไฮเดตให้กับโปรตีนได้เป็นไกลโคโปรตีน
(โปรตีนต่อกับคาร์โบไฮเดรต)
ไกลโคเจนนี้อยู่ในเวซิเคิล (vesicle) เวซิเคิลที่ลำเลียงเอนไซม์เรียกว่า transport vesicle
2.
เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวขุขระ เป็นโรงงานสร้างเมมเบรนโดยจะสร้าง
โปรตีนและฟอสโฟลิปิดส่งไปที่เมมเบรนของเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม
กอลไจแอปพาราตัส
กอลไจแอปพาราตัสมีลักษณะคล้ายถุงแบนๆ
เกิดจากชั้นๆ ของ cisternae กอลไจแอปพาราตัสมีหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการสังเคราะห์ เก็บ
และส่งโมเลกุลต่างๆ กอลไจแอปพาราตัส แบ่งเป็นหน้าซีส (cis face) และหน้าทรานส์ (trans face)
-
หน้าซีสอยู่ใกล้เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมทำหน้าที่รับ transport vesicle จาก เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมเข้าสู่กอลไจแอปพาราตัส โดยการที่ transport vesicle จะหลอมรวม (fuse) กับเมมเบรนของเอนโดพลาสมิกเรติคูลัมด้านซีส
-
หน้าทรานส์จะเป็นที่ที่ vesicle แตกหน่อออกมา
(budding) แล้วออกไปสู่จุดหมาย
โปรตีนและฟอสโฟลิปิดจะถูกเติมแต่ง (modification) ในระหว่างทางที่เข้า-ออกหน้าซีสและทรานส์ กอลไจแอปพาราตัสยังเป็นที่ผลิตโพลีแซคคาไรด์ (polysaccharide) บางชนิด
เช่น hyaluronic acid ซึ่งเป็นสารเหนียวที่ช่วยในการยึดเกาะของเซลล์สัตว์
ไลโซโซม
ลักษณะเป็นก้อน มีเซลล์เมมเบรน ภายในมีไฮโดรไลติกเอนไซม์
(hydrolytic enzymes) ซึ่งสามารถไฮโดรไลซ์โปรตีน โพลีแซคคาไรด์ ไขมัน และกรดนิวคลีอิกได้ เอนไซม์เหล่านี้ทำงานได้ดีที่ pH
5.0
ในอามีบา (amoeba) จะกินอาหารด้วยกระบวนการ phagocytosis (Gr. Phagein = to eat) ก้อนอาหาร
(food vacuole) ที่เข้ามาภายในเซลล์จะหลอมรวมกับไลโซโซมซึ่งมีเอนไซม์ย่อยสารอาหารอยู่ภายใน
ในคนมี
macrophages ที่คอยกินสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย และกระบวนการกินอีกรูปแบบหนึ่งของเซลล์ซึ่งเป็นการกินของเหลวเรียกว่า
pinocytosis (Gr. pinein = to drink)
ไลโซโซมยังมีหน้าที่ย่อยสารหรือออร์กาเนลล์ภายในเซลล์ที่หมดอายุด้วย เรียกกระบวนการนี้ว่า autophagy เช่น ในเซลล์ตับมีการย่อยและนำกลับไปใช้ใหม่ของ macromolecules
เท่ากับครึ่งหนึ่งของ macromolecules ทั้งหมดในเซลล์ต่ออาทิตย์
ในลูกอ๊อดก่อนจะเป็นกบ หางจะถูกย่อยด้วยไลโซโซม ในคนนิ้วมือของเอมไบรโอ (embryo) จะมีแผ่นเชื่อมทำให้ติดกัน ไลโซโซมจะช่วยย่อยออกไป
Pompe’s disease เป็นโรคที่ภายในไลโซโซมไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ย่อยสลายโพลีแซคคาไรด์
ทำให้ไกลโคเจนสะสมในตับ จนตับถูกทำลาย
แวคิวโอล
แวคิวโอลเป็นออร์กาเนลล์ที่มีเมมเบรมหุ้ม
มีขนาดใหญ่กว่า vesicle แวคิวโอลอาหาร (food vacuole) ได้มาจากกระบวนการ phagocytosis
โปรติส (protists) น้ำจืด ยกตัวอย่าง เช่น
พารามีเซียม จะมี contractile vacuole
คอยปั้มน้ำที่มีอยู่มากเกินไปออกจากเซลล์
พืชที่โตเต็มวัยแล้วมี central vacuole ที่ถูกหุ้มด้วยเมมเบรนชื่อว่า tonoplast ใช้เป็นที่เก็บสารประกอบ ออร์กานิก (organic compound) เช่น โปรตีน และสารอินออร์กานิกไอออนซ์
(inorganic ions) เช่น โปแทสเซียม (potassium) และคลอไรด์
(chloride) หรืออาจใช้เป็นที่ทิ้งของเสียที่เกิดจากกระบวนการเมตาโบลิซึม
ที่อาจจะเป็นพิษกับเซลล์ และเป็นที่อยู่ของเม็ดสี
(pigments) หรือสารพิษ นอกจากนี้แล้วแวคิวโอลยังช่วยให้พืชเจริญเติบโต
โดยแวคิวโอลจะดูดซึมน้ำจนขยายใหญ่ขึ้น ทำให้เซลล์พืชขยายขึ้นตามโดยที่ไม่ต้องสร้างไซโตพลาสซึมเพิ่ม
ออร์กาเนลล์อื่นๆที่มีเมมเบรน
ไมโตครอนเดรีย
ไมโตครอนเดรียสามารถพบได้ในยูคาไรโอตเซลล์เกือบทุกชนิด ที่ไมโตครอนเดรียมีกระบวนการการหายใจระดับเซลล์
(cellular
respiration) และเป็นแหล่งผลิต ATP (adenosine
triphosphate) ซึ่งเป็นสารให้พลังงานสูง ภายในไมโตครอนเดรียมี
DNA เป็นของตัวเอง
ไมโตครอนเดรียมีเยื่อหุ้มชนิด phospholipid bilayer
เยื่อหุ้มชั้นนอก
(outer membrane) เป็นแบบผิวเรียบ
เยื่อหุ้มชั้นใน (inner membrane) ขดพับไปมาเรียกว่า cristae
แยกช่องว่างระหว่างเมมเบรน หรือ
intermembrane space กับ mitochondrial matrix ออกจากกัน
คลอโรพลาสต์
คลอโรพลาสต์พบในเซลล์พืช มีคลอโรฟิลล์ (chlorophyll) ที่ไว้สำหรับใช้ในปฏิกิริยาการสังเคราะห์แสง
คลอโรพลาสต์มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น ภายในมีไทลาคอยด์ (thylakoids) (มีลักษณะคล้ายเหรียญ) ซ้อนกันอยู่เป็นตั้งๆ
เรียกโครงสร้างนี้ว่ากรานา (grana) สารละลายภายในคลอโรพลาสต์ (ภายนอกไทลาคอยด์) เรียกว่า สโตรมา (stroma)
เปอร์ออกซิโซม
เปอร์ออกซิโซม (peroxisomes) มีลักษณะกลม มีเยื่อหุ้มชั้นเดียว ภายในมีเอนไซม์ที่สามารถย้าย H จากสารตั้งต้นหลายๆชนิดไปให้ O2 แล้วได้ผลิตภัณฑ์เป็น
peroxide (H2O2) ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่าเปอร์ออกซิโซม
ตับมีความสามารถในการลดความเป็นพิษ (detoxify)
แอลกอฮอร์โดยอาศัยเปอร์ออกซิโซม ซึ่งจะย้าย H จากแอลกอร์ฮอล์ไปให้ O2 ได้ H2O2 แต่ H2O2 ก็เป็นพิษต่อเซลล์ตับเช่นกัน อย่างไรก็ตามในเปอร์ออกซิโซมมีเอนไซม์อีกชนิดหนึ่งที่เปลี่ยน
H2O2 ไปเป็น H2O ได้
ในเมล็ดพืชมีเปอร์ออกซิโซมชื่อ ไกลออกซิโซม (glyoxysomes) อยู่ในเนื้อเยื่อของพืชที่มีการสะสมไขมัน
ภายในไกลออกซิโซมมีเอนไซม์เปลี่ยนกรดไขมัน (fatty acids) ให้เป็นน้ำตาลเพื่อใช้เป็นพลังงานขณะเมล็ดพืชงอกตอนที่ยังไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้
เปอร์ออกซิโซมเจริญโดยการรวมรวมโปรตีนและไขมันต่างๆ
จาก cytosol และเพิ่มจำนวนโดยการแบ่งเป็น 2 เมื่อเปอร์ออกซิโซมมีขนาดใหญ่ถึงจุดๆ
หนึ่ง
ไซโทสเกเลตอน
(cytoskeleton)
ออร์กาเนลล์ต่างๆ ภายเซลล์ยูคาริโอตไม่ได้ลอยอยู่อย่างอิสระภายใน
cytosol ไซโทสเกเลตอนคอยรักษารูปร่างของเซลล์
ซึ่งสำคัญมากในเซลล์สัตว์ซึ่งไม่มีผนังเซลล์
ไซโทสเกเลตอนยังเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของเซลล์
(cell motility)
และมีส่วนร่วมในการควบคุมการทำงานของเซลล์ ไซโทสเกเลตอนประกอบด้วย microtubules microfilaments และ intermediate filaments
Microtubules
microtubules พบในเซลล์ยูคาริโอตทุกชนิด
ลักษณะเป็นหลอดยาว 200 nm – 25 mm สร้างจาก tubulin
protein แต่ละโมเลกุลของ tubulin ประกอบด้วย a และ b-tubulin หน้าที่ของ microtubules เกี่ยวข้องกับการแยกโครโมโซมระหว่างกระบวนการแบ่งเซลล์
Centrosome และ centrioles
microtubules สร้างมาจากบริเวณที่เรียกว่า
centrosome บริเวณที่อยู่ใกล้นิวเคลียส
ในเซลล์สัตว์มี
centriole อยู่ 1 คู่ และ centriole แต่อันมี microtubule
อยู่ 9 เซต (3 microtubules ต่อ 1 เซต) ต่อกันเป็นวงกลม
เมื่อเซลล์มีการแบ่งเซลล์ centrioles ก็จะจำลองตัวเอง
(replicate) ไปด้วยเช่นกัน
ซิเลียและแฟลคเจลลา (cilia และ
flagella)
ซิเลียและแฟลคเจลลาเป็นโครงสร้างที่เกิดจาก microtubules ซิเลียและแฟลคเจลลามีขนาด
เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.25 mm ซีเลียความยาว 2-20 mm ส่วนแฟลคเจจลาจะความยาว 10-20 mm การเคลื่อนไหวของซิเลียและแฟลคเจลลาดูตัวอย่างได้จากการเคลื่อนไหวของเซลล์
Paramecium และ สเปิร์ม
ซิเลียและแฟลคเจลลามีโครงสร้างคล้ายกัน โครงสร้างทั้งหมดมีพลาสมาเมมเบรนหุ้มแกนกลางเป็น
microtubules ซิเลียและแฟลคเจลลาประกอบด้วย
microtubules 9 คู่ เรียงกันเป็นวงกลม และมี microtubule 1 คู่ อยู่ตรงกลาง (9 + 2 ) microtubule ที่แกนกลางต่อเชื่อมกับ
microtubule รอบๆ ด้วย radial spoke นอกจากนี้แล้ว microtubule แต่ละคู่ 9 คู่ รอบๆจะมีโปรตีนเป็นเหมือนแขนจับกันเรียกว่า dynein
arms ซึ่งเป็น motor protein ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว
เมื่อ
dynein arms ดึงและปล่อย microtubule ข้างๆ จะทำให้ซิเลียหรือแฟลคเจลลาบิดงอ
จนทำให้เกิดการโบกของซิเลียหรือแฟลคเจลลา
Microfilament (or actin
filaments)
microfilament หรืออีกชื่อหนึ่งคือ
actin filament เนื่องจากว่าถูกสร้างจากโปรตีนชื่อ
actin มีลักษณะเป็นแท่งยาวเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7
nm microfilament ประกอบด้วยสายโปรตีน actin 2 สายพันกัน
microfilament ที่รู้จักกันทั่วๆไป คือ microfilament
ที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของลำไส้และกล้ามเนื้อ
ที่เซลล์กล้ามเนื้อ actin filaments จะอยู่เป็นแนวเดียวกับ
myosin filaments ซึ่งทำหน้าที่เป็น motor molecules กล้ามเนื้อยืด-หดตัวเกิดจาก actin และ myosin หดตัวเข้าหากัน
ใน ameboid movement
มีการยึด-หดตัวของ actin และ myosin
ในส่วนที่เรียกว่า pseudopodia [Gr. pseudes = false และ pod = foot] ของอมีบาเซลล์
ในเซลล์พืชการทำงานร่วมกันของ
actin และ myosin ทำให้เกิดการไหลเวียนของไซโตพลาสซึมช่วยในการกระจายสารอาหารในพืช
Intermediate
filaments
intermediate
filaments มีขนาดอยู่ระหว่าง
microtubules และ microfilaments เป็นโครงสร้างของโปรตีน keratin หน้าที่โดยทั่วไปคือ คอยรักษารูปร่างของเซลล์ และเป็นเครือข่ายของ nuclear
lamina
พื้นผิวและรอยต่อเซลล์
ผนังเซลล์
ผนังเซลล์ (cell wall)
ของเซลล์พืชจะมีองค์ประกอบต่างๆกันไปขึ้นอยู่กับพืชแต่ละสปีชีส์ แต่โดยทั่วไปแล้วมีอยู่ 3 ชั้นคือ
1.
primary
cell wall ที่ยืดหยุ่นได้ดี
2.
middle
lamella เป็นชั้นบางๆ มีโพลีแซคคาไรด์ชื่อเพคติน
(pectin) อยู่มากและมีลักษณะเหนียว ชั้นนี้จึงเป็นเสมือนกาวที่ติดเซลล์เข้าด้วยกัน
3.
secondary
cell wall ชั้นนี้หนากว่าชั้นอื่น
มีหน้าที่คอยปกป้องเซลล์
Extra
cellular matrix (ECM)
ตรงกันข้ามกับเซลล์พืช เซลล์สัตว์ไม่มีผนังเซลล์ แต่เซลล์สัตว์มีโครงสร้างเรียกว่า
extra cellular matrix (ECM) แทน องค์ประกอบของ ECM ส่วนใหญ่จะเป็นไกลโคโปรตีน ไกลโคโปรตีนที่มีอยู่มากคือ
คอลลาเจน (collagen) ซึ่งจะสร้างเครือข่ายโยงใยกับโปรตีโอไกลแคน (proteoglycans) และโปรตีโอไกลแคนบางตัวต่อกับไฟโบรเนกติน
(fibronectins) ซึ่งต่ออยู่กับ อินทีกริน (integrins) อีกทีหนึ่ง
เกิดเป็นเครือข่ายรับ-ส่งสัญญาณต่างๆจากเซลล์และสิ่งแวดล้อม
รอยต่อระหว่างเซลล์
(intercellular
junctions)
ในเซลล์พืช มีการติดต่อสื่อสารกันระหว่างเซลล์ผ่านทางช่องเรียกว่า
plasmodesmata [Gr. desmos
= to bind] สารละลายต่างๆไหลผ่านเข้าออกได้ ซึ่งช่องนี้โปรตีนและ RNA ก็สามารถเคลื่อนผ่านได้ในบางสถานการณ์
ในเซลล์สัตว์ รอยต่อระหว่างเซลล์มี 3 ชนิดคือ
1.
tight
junctions เมมเบรนตรง tight
junction จะเชื่อมติดกัน ป้องกันการรั่วไหลของของเหลวระหว่างเซลล์ (extercellular
fluid)
2.
desmosomes บีบรัดเซลล์ 2 เซลล์ให้ติดกันแน่น
3.
gap
junctions เป็นช่องเปิดสำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างเซลล์
__________________________________________________
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น